จักรพรรดินีองค์สุดท้ายของจีน ฮองเฮาหว่านหรง ตอนสาม ชีวิตนอกวังกับพรหมจรรย์ที่กลายเป็นหยก
เทปที่แล้วเนี่ยเราพูดถึงชีวิตของฮองเฮาหว่านหรงในวัง เทปนี้เราจะมาเจาะลึกชีวิตของพระนางตอนที่อยู่นอกวังว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วความสัมพันธ์ของพระนางกับพระสวามีเป็นอย่างไร ? จริงหรือไม่ที่ก่อนแต่งพรหมจรรย์ก็เป็นก้อน หลังแต่งก็ยังเป็นก้อน เก็บจนกลายเป็นหยกไปแล้ว เรามาฟังกันค่ะ
ถึงแม้ว่าพระนางหว่านหรงจะเป็นถึงฮองเฮาผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ชิง แต่ราชวงศ์ได้หมดอำนาจไปแล้ว royal familyเปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่ภายนอกดูยิ่งใหญ่ แต่ข้างในกลวง เพราะมีปลวกแทะไปหมด แต่ละคนในวังต่างหาผลประโยชน์เข้าตัว เริ่มตั้งแต่นายไปถึงบ่าว ขันที นางกำนัล และอดีดพระสนมในฮ่องเต้องค์ก่อน ก็ต่างดูดเลือดจากท้องพระคลังทั้งนั้น ทุกคนหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง และที่น่าตกใจไปก็คือว่า ทุกคนอ้างว่าทำเพื่อฮ่องเต้ ทั้งที่ฮ่องเต้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ฮ่องเต้ปูยี ตอนที่พระชันษายังน้อยก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอก แต่ตอนที่พระชันษามากขึ้นก็เริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะว่าภาพเขียนของจิตรกรเอก เครื่องประดับ ผ้าไหมชั้นดี และสมบัติล้ำค่าต่างเริ่มหายไปจากพระคลังสมบัติ วันนี้เราดื่มชาถ้วยหยก วันพรุ่งนี้ถ้วยหยกหายไปก็มี พระองค์ถึงกับต้องออกพระราชโองการให้มีการตรวจสอบครั้งใหญ่สังคายนาเลยว่า อะไรมีอยู่ในพระคลังสมบัติบ้างและตรงกับที่บันทึกไว้มั้ย?ซึ่งครั้งนี้การที่ฮ่องเต้ปูยีโดนขโมยจุ๊บแจงเนี่ย ฮองเฮาก็ไม่เว้นค่ะ เพราะตอนที่ฮองเฮาแต่งงาน ฮองเฮาก็ได้สวมมงกุฎหงส์ หนึ่งเดือนหลังจากงานแต่งผ่านไป อัญมณีต่างๆที่อยู่ในมงกุฏก็โนสับเปลี่ยนเป็นของปลอมทั้งนั้น ทำให้ฮ่องเต้ปูยีกริ้วมากถึงกับต้องเขียนลงในไดอารี่ส่วนพระองค์ทีเดียวเชียว ขันทีพกจุ๊บแจงต้องทำยังไงล่ะ ก็กลัวที่จะโดนตรวจสอบ พวกขันทีก็เลยเผาพระราชวังที่เก็บพระคลังสมบัติไว้ทั้งหมด ฮ่องเต้ปูยีเหมือนกับโดนตบหน้า เพราะรู้แล้วล่ะว่า พวกขันที่ไม่ซื่อสัตย์กับพระองค์อีกต่อไปแล้ว สิ่งที่พระองค์ทำก็คือว่า ออกพระราชโองการอีกฉบับไล่ขันทีออกจากวังให้หมด แต่ว่าเนื่องจากพระองค์ไม่มีอำนาจในตอนนั้นก็ต้องอาศัยอำนาจของสาธารณรัฐมาช่วยด้วย ซึ่งเราก็มีรูปมาให้ดูด้วยซึ่งเป็นตอนที่ฮ่องเต้ปูยีทรงขับไล่พวกขันทีออกไปแล้วยืมกองกำลังของพวกสาธารณรัฐมาช่วย แต่พระองค์คงไม่รู้หรอกว่า ปีถัดไปพระองค์ก็ต้องเป็นฝ่ายโดนไล่เอง
หลังจากออกจากวังทหารของนายพลหลู่ก็คุมตัวปูยี , หว่านหรง และสนมเหวินซิ่วไว้ที่จวนขององค์ชายชุน องค์ชายชุนเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้ปูยี ครานั้นฮ่องเต้ปูยีต้องแชร์ห้องอยู่กับน้องชายทั้งสองคือ องค์ชายปูเจีย และปูจี ส่วนฮองเฮาและสนมเหวินซิ่วต้องแชร์ห้องรวมกับสนมของพระอัยกาชุน สมบัติพัสสถาน เครื่องทรงฮองเฮาผ้าไหมต่างๆ ล้วนไม่ได้ถูกนำมาด้วย ฮ่องเต้ปูยีนั้นต้องเรียกร้องให้นายพลหลู่นั้นไปนำสมบัติและเสื้อผ้ามา ฮ่องเต้ปูยีตอนนั้นมืดแปดด้านไม่รู้จะทำยังไง ก็เกิดปิ๊งไอเดียที่ว่าพระองค์จะไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นดีกว่า ไปพึ่งญี่ปุ่นเพราะยังไงญี่ปุ่นก็มีจักรพรรดิเหมือนกัน และจักรพรรดิณี่ปุ่นสมัยนั้นก็อายุพอๆกับพระองค์ น่าจะเข้าใจหัวอกของพระองค์บ้าง แต่ไอเดียนี้สนมเหวินซิ่วคัดค้านอย่างหนัก แม้พระสนมจะอายุยังน้อย แต่ก็รู้ว่ายังไงเจแปนก็ไม่มีวันเข้าข้างราชวงศ์ชิง โดยที่ไม่หวังผลประโยชน์แน่นอน กลับกันฮองเฮาหว่านหรงไม่คัดค้าน เพราะฮองเฮาเองก็อยากไปเมืองนอกเมืองนา ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ไปศิวิไลซ์กับฝรั่ง หลังจากที่ถูกคุมตัวยี่สิบกว่าวัน ปูยีก็ทำให้ทุกคนอึ้ง เพราะพระองค์ไปผลุบออกจากจวนแล้วก็ไปโผล่ที่สถานกงสุลของญี่ปุ่น แบบนินจาเหมือนเพลงของคุณแม่คริสติน่า ผลุบๆโผล่ๆ รัฐบาลจีนตอนนั้นทำอะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นตอนนั้นมีอำนาจมากและมีกองทัพมาด้วย กองทัพญี่ปุ่นก็ยังไปนำตัวฮองเฮาหว่านหรงและพระสนมเหวินซิ่วมาที่สถานกงสุลเช่นกัน
ขณะอยู่ที่ในสถานกรมศุลมีงานอีเวนท์สองงานใหญ่ๆเกิดขึ้น
ก็คือ งานแรกเป็นงานสปริงเฟสติวัล งานที่สองเป็นงานวันเกิดของฮ่องเต้ปูยี
ในงานวันเกิดเนี่ยฮ่องเต้ปูยีได้มีพระบรมราชโองการให้ฮองเฮาหว่านหรงประทับอยู่กับพระองค์ได้
ซึ่งตอนนั้นทำให้สนมเหวินซิ่วกริ้วมาก
เพราะว่าพระนางก็อยากจะออกไปเฉิดฉายเช่นเดียวกับฮองเฮา
แต่ว่าเนื่องจากไม่มีพระราชโองการ
ดังนั้นพระสนมเหวินซิ่วจึงต้องเก็บตัวอยู่แต่ในตึก
แล้วก็มีรูปมาให้ด้วยว่าตอนที่พระองค์อยู่สถานกงสุลนั้นเป็นอย่างไร
รัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้อัญเชิญคณะของปูยีไปอยู่ที่เมืองเทียนจิน พักในอุทยานที่ชื่อ
จินการ์เด้น ขณะนั้นหว่านหรงไม่ได้มีคำนำหน้าว่าฮองเฮาอีกแล้ว พระองค์กับปูยีทำตัวเหมือนกับหนุ่มสาวธรรมดาไฮโซ
ใช้ชีวิตเหมือนสามัญชนทั่วไป พอไปอยู่เทียนจิน พระนางก็ไปขี่ม้า
ฮ่องเต้ก็ไปช้อปปิ้ง บางครั้งฮ่องเต้ก็ไปเล่นสเกตบอร์ด สแคชแผ่น ทั้งคู่นั้นเป็นเซเลบที่โด่งดังมากในเทียนจิน
ตัวฮองเฮาเองก็โปรดปรานการช้อปปิ้งมาก ใช้เงินไม่ต่างจากเปิดน้ำก๊อกอาบน้ำ
ค่าใช้จ่ายของฮองเฮาพอๆกับฮ่องเต้เลย คือ เดือนหนึ่งประมาณหนึ่งพันหยวนอัพ เอ่ะ! แล้วหนึ่งพันหยวนมันแปลเท่ากับเท่าไหร่ ซึ่งในสมัยนี้ก็เป็นเกือบสิบล้านอ่ะ
ในขณะที่สนมเหวินซิ่วเนี่ยมีเงินเดือนใช้อยู่ที่ไม่กี่แสน
ในเทียนจินเนี่ยฮองเฮาก็ยังเรียนภาษาอังกฤษต่อ
และก็อิมพอร์ครูแหม่มอินแกรมมาจากเมืองปักกิ่งมาที่เทียนจินด้วย
ใครที่ลืมครูแหม่มอินแกรมในเทปที่แล้ว แอดมินก็ขึ้นรูปให้ดูแล้วน่ะ ซึ่งครูแหม่มอินแกรมเนี่ยเป็นคนที่พระนางหว่านหรงสนิทมากๆ
ไม่ต่างอะไรกับติ๊กต๊อกอินฟลูเอนเซอร์
ว่าฮองเฮาหว่านหรงเชื่อถือครูแหม่มอินแกรมเฉกเช่นเดียวกับที่ปูยีเชื่อถือพระอาจารย์จอห์นตัน
ซึ่งเราก็มีรูปจอนห์นตันมาให้ดู หว่านหรงโซเชียลไลฟ์
นอกจากปูยีก็ไม่ได้คบใครมากมายหรอก จริงๆมีคนอยู่สามจำพวกที่ฮองเฮาหว่านหรง keep
in touch พวกแรกก็คือ พระญาติฝ่ายบิดาและมารดาของฮองเฮา
พวกที่สองคือ พระอาจารย์ ฝรั่ง ติวเตอร์ หมอ และพระสหายของพระองค์ พวกที่สามก็คือ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รับใช้ใกล้ชิด นี่มีรูปฮองเฮาหว่านหรงอีกรูปนึงในพระราชอุทยานจิงด้วย
แต่ที่ถือว่าบุคคลที่มีอิทธิพลกับฮองเฮาหว่านหรงมากที่สุด ก็คือ
พระอาจารย์แหม่มอินแกรมนี่ล่ะ
เพราะพระอาจารย์แหม่มเนี่ยไม่ได้สอนหว่านหรงแค่ภาษาอังกฤษ
แต่ยังสอนความศิวิไลซ์ของโลกตะวันตกด้วย ตัวครูแหม่มก็เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นมาแล้ว
และยังเขียนจดหมายมาถึงหว่านหรงเล่าถึงความอลังการของเจแปน ในจดหมายน่ะ
บรรยายไปว่าไปช้อปปิ้งสนุกยังไง ไปปีเขาสนุกมากมั้ย
อาหารยุโรปที่ทานในญี่ปุ่นเนี่ยมีคาร์เวียด้วย อร่อยเริ่ดสะแมนแตน
ซึ่งการที่แหม่มอินแกรม เป็นอินฟลูเอนเซอร์ ก็ได้ทำให้หว่านหรงอยากไปญี่ปุ่น
อยากจะไปศิวิไลซ์กับชาวตะวันตก และแหม่มอินแกรมก็ยังได้ภาษาจีนแบบinside
out ไม่มีแบบ snake snake fish fish อย่างรู้เรื่องวัฒนธรรมจีน
รู้จักการกินอาหารจีน ซึ่งแตกต่างจากพระอาจารย์จอห์นสตันของฮ่องเต้ปูยีมาก
เพราะจอห์นสตันนั้นไม่ค่อยรู้เรื่องเมืองจีนสักเท่าไหร่ ภาษาจีนก็พูดไม่ค่อยได้
ปูยีเองก็โปรดแหม่มากเหมือนกันไม่ต่างจากที่ฮองเฮาโปรด
พระองค์บางครั้งก็เรียกให้แหม่มเข้ามาพูดคุย บางครั้งก็เดินเล่นถ่ายรูปกัน
ตอนที่แหม่มทำ part-time ที่โรงเรียนแคเทอลิค
ปูยีก็ได้รับเชิญไปในงานอีเว้นท์ที่นางจัดปูยีก็ไป
และบางครั้งตอนที่แหม่มออกไปเที่ยวข้างนอกเทียนจินและกลับมาที่เทียนจิน
ปูยีก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
ซึ่งบอกได้เลยว่าถ้าจอห์นสตันคือพระอาจารย์ที่ปูยีนับถือและก็ไว้ใจ
แหม่มอินแกรมถือว่าเป็นเบอร์สองตามมาติดๆเลยค่ะ
ระหว่างที่ฮองเฮาหว่านหรงใช้ชีวิตอยู่ในนอกวังที่อุทยานเทียนจิน
สุขภาพของฮองเฮาก็แย่ลงๆ ตอนที่เริ่มจะดีขึ้นเพราะปูยีให้หมอฝรั่มารักษา
โรคที่พระนางเป็นบ่อย คือ แพ้อากาศ ประจำเดือนมาไม่ปกติ และพระนางก็เริ่มติดฝิ่น
คือจริงๆแล้วพระนางสูบฝิ่นตั้งแต่ตอนอยู่ในวังแล้ว แต่พระนางก็สูบชิลๆเล่นๆเหมือนคนที่แบบว่าสูบฮก้า
แต่ว่าตอนที่พระนางเนี่ยป่วยขึ้นมาทำให้การติดฝิ่นรุนแรงขึ้น
เพราะว่าฝิ่นช่วยลดบรรเทาอาการเจ็บปวด แล้วพระนางก็เริ่มเขียนjournal
ซึ่ง journalก็ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีมาจนถึงปัจจุบันเชียวล่ะ
journal บางส่วนแอดมินก็คัดมาให้ฟังและแปลเท่าที่แอดมินแปลได้น่ะ
เอาล่ะ journalอันแรกเนี่ยก็มันส์เหมือนกัน “ 1 พฤภาคม ปี 1931
ระหว่างที่เราใช้ชีวิตด้วยกันมาเก้าปี ทูนหัวคงรู้จักฉันมากกว่าใคร
ถ้าฉันทำอะไรผิดขอให้บอก ฉันจะแก้ไขมัน สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนาก็คือ ขอให้พระองค์รักฉัน
สิ่งที่ฉันชอบที่สุด ก็คือ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของพระองค์
เมื่อไหร่ที่พระองค์แย้มสรวล ฉันก็รู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างสดใสเหลือเกิน
เมื่อไหร่ที่พระองค์เศร้า ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่หมดสิ้นทุกอย่าง
ฉันจะทำทุกอย่างให้ทูลกระหม่อมของฉันมีความสุขสบาย”
เนี่ยะจริงๆแล้วพระนางเขียนjournal ว่าทูนหัวที่รักก็ไม่ใช่อะไรหรอก ก็คือเขียนให้ฮ่องเต้ปูยี ซึ่งแสดงว่าฮองเฮาหว่านหรงนั้นรักและก็ซื่อสัตย์กับฮ่องเต้เพียงใด และก็มีรูปมาให้ดูด้วย อ่ะ journal อีกฉบับ
“ 2 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ทูนหัวจ๋าฉันต้องทำอย่างไร พวกเขาไม่ควรต้องให้ฉันมาแต่งงานกับชายที่มีชายาอยู่แล้ว
ปีที่ผ่านช่างฉงนสนเท่ห์ว่าทูนหัวของฉันชอบเหวินซิ่วมากกว่าฉันหรือเปล่า ?
ทุกครั้งที่ฉันคิดจิตใจของฉันแตกสลายมลายไปกับสายลม ในควาทุกข์ที่ฉันมี
ฉันร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน แต่ฉันก็ไม่กล้าปริปากบอกใคร ทุกวันฉันต้องนั่งปั้นหน้ายิ้มแย้ม
เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่า ข้างในตัวฉันนั้นมันแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
เพราะใจที่แตกสลายของฉัน”
ซึ่งก็คือว่า
พระนางระแวงเสมอมาว่าฮ่องเต้ไม่รักพระนางจริง และไปรักสนมเหวินซิ่วมากกว่า ทำให้วันๆพระนางไม่ทำอะไรคอยแต่หึงสนมเหวินซิ่วแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งในตอนนั้น
journalอีกอันไม่ได้ระบุวันที่เอาไว้
แต่มีข้อความสำคัญพูดถึงพรหมจรรย์ที่ยังเป็นก้อน และหลังแต่งก็ยังเป็นก้อน ที่เก็บจนกลายเป็นหยกไปแล้ว
“ฉันไม่มีให้หวังอีกต่อไป
มีแต่ความว่างเปล่าในความมืด หญิงที่ต้องรักษามารยาท และได้เก็บความบริสุทธิ์ไว้
ฉันต้องกล้ำกลืนฝืนทน ในเรื่องที่ต้องอับอาย เก็บความบริสุทธิ์ของฉันไงล่ะ”
ซึ่งjournalของฮองเฮาหว่านหรงยังมีอีกมาก ยังเผยแพร่และไปตามดูได้ แต่ถ้าได้ไปดูและประมวลออกมาแล้วจะรู้เลยว่า จิตใจของพระนางอ่อนแอเพียงใด คนที่พระนางรักและเทิดทูนมากที่สุดไม่ได้แสดงออกเลยว่ารักพระนาง พระนางเป็นฮองเฮาก็จริงแต่ก็เป็นเพียงแค่ในนาม ต่อให้เป็นภรรยา แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แบบภรรยา ได้แต่หวานอมขมกลืนต้องประทับคนเดียว เฉกเช่นหญิงที่มีความเจ็บแค้น แต่ที่น่าแปลกใจก็คือว่า แทนที่พระนางจะไปลงที่ฮ่องเต้ กลับไปลงที่สนมเหวินซิ่ว ให้สนมเหวินซิ่วรับไปเต็มๆคนเดียว ซึ่งจริงๆแล้วชะตากรรมของสนมเหวินซิ่วก็ไม่ต่างอะไรจากฮองเฮาน่าจะมาปลอบใจกันมากกว่า แต่กลายเป็นว่าผู้หญิงสองคนนี้คอยจิกกันสุดฤทธิ์ ฮองเฮาและฮ่องเต้เคยทะเลาะกันด้วย ทะเลาะเรื่องบนเตียง เพราะถ้าแอดมินเป็นภรรยาก็คงร้องตะโกนว่า ถ้าจะให้ฉันเป็นผู้หญิงvirgin เนี่ยะเป็นแม่ชีดีกว่า แล้วปูยีก็คงจะตรัสว่างั้นอนุญาตเลยค่ะ ถ้าฮองเฮาจะมีความรักใหม่ เชิญเลยค่ะ ทำให้ฮองเฮาเขียน journal มาอีกฉบับเลยค่ะซึ่ง journalนี้ เขียนขึ้นมาวันที่ 25 มิถุนายน 1931
ซึ่งอันนี้พอแอดมินอ่านแล้วก็เหมือนหญิงสาวมโนอยู่ในการ์ตูนช่อง5ค่ะ คือว่าฮ่องเต้ปูยีไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับพระนางแล้ว
แต่พระนางก็ยังมโนว่าผู้ชายรักผู้ชายหลงอยู่อย่างนั้น โหยยย! น่าสงสารจริงๆ แล้วเจอกันจ๊ะ
ในเทปหน้าเราจะมาดูว่าฮองเฮาหว่านหรงได้ขึนเป็นฮองเฮาอีกครั้งยังไง
ชะตากรรมพระนางเป็นอย่างไรบ้าง โศกนาฎกรรมครั้งนี้เจะมีจุดจบเช่นไร ฟังกันค่ะ
Comments
Post a Comment